
ในทุกวันนี้รถเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากสำหรับการเดินทาง โดยที่หลายๆ คนต้องการมีไว้เป็นของตนเองสักคัน แต่กว่าจะได้มาเป็นเจ้าของอาจจะเป็นเรื่องยากลำบาก กว่าจะเก็บเงินซื้อ กว่าจะผ่อนหมดต้องใช้เวลานาน ดังนั้นรถจึงถือได้ว่าเป็นสมบัติที่มีค่า จึงสมควรที่จะต้องดูแลอย่างดีและสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับรถอย่างมากก็คือ “ยางรถ” เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้าคู่ใจของรถที่จะพาขับเคลื่อนไปในทุกเส้นทางที่ต้องการ
ในวันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกและการดูแลรักษายางรถ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับการขับเคลื่อน เพราะยางนั้นจะมีหน้าที่รับน้ำหนักตัวรถ ลดแรงกระแทก การสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ถ่ายทอดแรงขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์สู่พื้นถนน ทำให้สามารถควบคุมทิศทางที่จะไปได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
1.เลือกใช้ยี่ห้อยางที่ได้รับมาตรฐาน
ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกซื้อยางเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากเราเลือกซื้อยางที่ไม่ได้รับมาตรฐานย่อมมีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นอันตรายในขณะขับขี่ได้ ดังนั้นควรที่จะศึกษาหาข้อมูลยี่ห้อยางรถให้ดี เช่น ยี่ห้อ Bridgestone (บริดจสโตน) ยี่ห้อนี้ครองใจคนไทยมากที่สุดในปี 2019 เลยทีเดียว ซึ่งก็ได้รับการยอมรับว่ามีความคงทนและทำให้รถขับเคลื่อนได้อย่างนุ่มนวล และ ยี่ห้อ Michelin (มิชลิน) เป็นคู่แข่งกับ Bridgestone มาโดยตลอดและแย่งชิงอันดับ 1 กันมาทุกปี ซึ่งหากพูดถึงคุณภาพแล้วก็บอกได้เลยว่าสูสีกันมาก
2.ตัวเลข ตัวอักษรบนแก้มยาง
อีกเรื่องที่ต้องรู้ คือ ตัวเลขบนแก้มยาง บอกอะไรเราได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น 195/60 R15 กลุ่มเลขแบบนี้จะเห็นได้บนยางทุกเส้น จะแตกต่างกันบ้าง ตามขนาดและประเภทของยาง วิธีการอ่านก็คือ
- เลข 195 หมายถึง ขนาดของหน้ายาง ความกว้างของยางนั่นเอง จะมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ในที่นี้ก็ คือ ยางเส้นนี้มีขนาดความกว้างอยู่ที่ 195 มม.
- เลข 60 คือ เป็นเลขจำนวนเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่จะบอกความสูงของแก้มยาง ต่อความกว้างของหน้ายาง วิธีคำนวณก็คือ 195 x (60/100) = 117 มม. ความสูงจริงของยางเส้นนี้คือ 117 มม. นั่นเอง
- R15 หมายถึง ตัว R คือยางเป็นประเภทเรเดียล และ15 คือขนาดของยางที่จะใช้กับวงล้อขนาด 15 นิ้ว
- เลข 88 คือ รหัสบอกน้ำหนักที่ยางเส้นนี้สามารถรับน้ำหนักได้ ตัวเลข 88 นี้จะแทนการรับน้ำหนัก 560 กก.
- อักษร H คือ ตัวบอกความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถวิ่งได้โดยไม่เกิดอันตราย ในที่นี่ตัว H จะแทนความเร็วสูงสุดที่ 210 กม./ชม.
นอกจากตัวเลขชุดนี้แล้วยังมีกลุ่มตัวเลขอีกชุดที่ควรรู้ เพราะจะบอกถึงช่วงเวลาที่ผลิต เวลาเลือกจะได้รู้ว่าเป็นยางที่ผลิตออกมาเมื่อไหร่ ไม่เก่าเกินไปที่จะนำมาใช้งาน ตัวอย่างเช่น 1017 วิธีการอ่านก็จะอ่านกันเป็นคู่ๆ โดย เลขคู่หน้าหมายถึง สัปดาห์ที่ผลิต โดยนับจากจำนวนสัปดาห์ทั้งปี 52 สัปดาห์ เลขคู่หลังหมายถึงปี ค.ศ. เลข 17 คือ ปี 2017 ถ้าอ่านคู่กันก็คือสัปดาห์ที่ 10 ปี 2017 จะได้ประมาณเดือนมีนาคม ปี 2017 นั่นเอง
3.เลือกให้ถูกได้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด
ปกติผู้ผลิตรถจะเลือกขนาดยางที่เหมาะสมกับตัวรถยนต์ที่จำหน่ายอยู่แล้ว โดยจะเน้นไปตามจุดเด่น หรือจุดขายของรถยนต์คันนั้นๆ แต่ในปัจจุบันหลายๆ ค่ายก็มุ่งเน้นกันที่ความประหยัด ซึ่งยางก็เช่นเดียวกัน ด้วยปัจจัยด้านการเงินเป็นเรื่องสำคัญ การเลือกยางเพื่อความคุ้มค่าและความประหยัดเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน แล้วยิ่งมาพร้อมกับสมรรถนะที่ดีจึงทำให้คุ้มค่ามากขึ้นด้วย อย่างเช่น ควรเลือกยางที่มีเทคโนโลยีลดการต้านทานการหมุนที่ดี ใช้ส่วนผสมเนื้อยางด้วยวัสถุดิบที่เหมาะสม จะช่วยให้ยางมีสมรรถนะที่ดี และช่วยประหยัดน้ำมันด้วย ส่วนการออกแบบดอกยางและร่องยางจะมีผลเรื่องการยึดเกาะถนนและอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ก่อนการเลือกซื้อยางจึงต้องศึกษาข้อมูลของผู้ผลิตให้ดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกยางมากยิ่งขึ้น
4.อายุการใช้งานของยาง
ยางส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งาน 3-5 ปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเปลี่ยนยางก็คือ เป็นไปตามสภาพของยางและดอกยางในปัจจุบัน เพราะทุกวันที่มีการใช้งานยางจะต้องเจอกับพื้นถนนที่แตกต่างกันหลายแบบ อาจจะมีตะปู ของแหลมคม หลุมบ่อ การกระแทกที่รุนแรง อาจจะทำให้ยางเกิดรอยแผล บวม แตกลายงา โครงสร้างยางเสียหาย ดอกยางสึกหรอ ความลึกร่องยางเหลือ ไม่ถึง 1.5 มม. หรือจอดเฉยๆ ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ทำให้ยางเสื่อมแข็ง อาการแบบนี้ควรจะรีบเปลี่ยนยางทันทีเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพยางที่ใช้อยู่เสมอว่าสมควรเปลี่ยนได้แล้วหรือยัง นอกจากนี้ควรสลับยางทุกๆ 10,000 – 15,000 กม. ของการใช้งานด้วย
3.เลือกให้ถูกได้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด
ปกติผู้ผลิตรถจะเลือกขนาดยางที่เหมาะสมกับตัวรถยนต์ที่จำหน่ายอยู่แล้ว โดยจะเน้นไปตามจุดเด่น หรือจุดขายของรถยนต์คันนั้นๆ แต่ในปัจจุบันหลายๆ ค่ายก็มุ่งเน้นกันที่ความประหยัด ซึ่งยางก็เช่นเดียวกัน ด้วยปัจจัยด้านการเงินเป็นเรื่องสำคัญ การเลือกยางเพื่อความคุ้มค่าและความประหยัดเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน แล้วยิ่งมาพร้อมกับสมรรถนะที่ดีจึงทำให้คุ้มค่ามากขึ้นด้วย อย่างเช่น ควรเลือกยางที่มีเทคโนโลยีลดการต้านทานการหมุนที่ดี ใช้ส่วนผสมเนื้อยางด้วยวัสถุดิบที่เหมาะสม จะช่วยให้ยางมีสมรรถนะที่ดี และช่วยประหยัดน้ำมันด้วย ส่วนการออกแบบดอกยางและร่องยางจะมีผลเรื่องการยึดเกาะถนนและอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ก่อนการเลือกซื้อยางจึงต้องศึกษาข้อมูลของผู้ผลิตให้ดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเลือกยางมากยิ่งขึ้น
4.อายุการใช้งานของยาง
ยางส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งาน 3-5 ปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะกับการเปลี่ยนยางก็คือ เป็นไปตามสภาพของยางและดอกยางในปัจจุบัน เพราะทุกวันที่มีการใช้งานยางจะต้องเจอกับพื้นถนนที่แตกต่างกันหลายแบบ อาจจะมีตะปู ของแหลมคม หลุมบ่อ การกระแทกที่รุนแรง อาจจะทำให้ยางเกิดรอยแผล บวม แตกลายงา โครงสร้างยางเสียหาย ดอกยางสึกหรอ ความลึกร่องยางเหลือ ไม่ถึง 1.5 มม. หรือจอดเฉยๆ ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานาน ทำให้ยางเสื่อมแข็ง อาการแบบนี้ควรจะรีบเปลี่ยนยางทันทีเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นจึงควรตรวจเช็คสภาพยางที่ใช้อยู่เสมอว่าสมควรเปลี่ยนได้แล้วหรือยัง นอกจากนี้ควรสลับยางทุกๆ 10,000 – 15,000 กม. ของการใช้งานด้วย
(ผู้ติดตาม 0 คน)
ให้ทิปบล็อก
- ช่วยสนับสนุนบล็อกของเราด้วยการให้ทิป เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์งานดีๆ ได้ต่อไป
[ บล็อกนี้ได้ทิปแล้ว 0 ครั้ง ]
20 บาท
50 บาท
100 บาท
*คุณสามารถให้ทิปได้ ตั้งแต่ 20 - 1000 บาท




บทความอัพเดทล่าสุด
คัดลอก URL แล้ว
ความคิดเห็นต่อบทความ
ความเห็นบน MagGang(0)
ความเห็นบน Facebook()